เมนู

อรรถกถาปฐมปฏิสัมภิทาสูตรที่ 7


ปฐมปฏิสัมภิทาสูตรที่ 7

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อิทมฺเม เจตโส ลีนตฺตํ ควาาว่า เมื่อจิตหดหู่เกิดขึ้นแล้ว
ภิกษุย่อมรู้ตามสภาวะความเป็นจริงว่า จิตของเรานี้หดหู่ จิตไปตาม
ถีนมิทธะ ชื่อว่าจิตหดหู่ในภายใน จิตที่กวัดแกว่งไปในกามคุณ 5
ชื่อว่าจิตฟุ้งไปในภายนอก บทว่า เวทนาเป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงถือเอาด้วยอำนาจมูลแห่งธรรมอันเป็นเครื่องเนิ่นช้า. ด้วยว่า
เวทนาเป็นมูลแห่งตัณหา เพราะตัณหาเกิดขึ้นด้วยอำนาจความสุข
สัญญาเป็นมูลของทิฏฐิ เพราะทิฏฐิ เกิดขึ้นในอวิภูตารมณ์ อารมณ์
ที่ไม่ชัดแจ้งวิตกเป็นมูลแห่งมานะ เพราะอัสมิมานเกิดขึ้นด้วย
อำนาจวิตก. บทว่า สปฺปายา สมฺปาเยสุ ได้แก่ที่เป็นอุปการะและ
ไม่เป็นอุปการะ. บทว่า นิมิตฺตํ ได้แก่ เหตุ. คำที่เหลือในบททั้งปวง
ง่ายทั้งนั้นแล.
จบ อรรถกถาสูตรที่ 7

8. ทุติยปฏสัมภิทาสูตร


[36] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรประกอบด้วยธรรม 7
ประการ ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปฏิสัมภิทา 4 ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
เข้าถึงอยู่ ธรรม 7 ประการเป็นไฉน คือ สารีบุตรในธรรมวินัยนี้
เมือจิตหดหู่ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า จิตของเราหดหู่ จิตท้อแท้ใน
ภายใน รู้ชัดตามเป็นจริงว่าจิตของเราท้อแท้ในภายใน หรือจิตฟุ้งซ่าน
ไปภายนอก เวทนาย่อมเกิดขึ้น ย่อมปรากฏ ย่อมถึงการตั้งอยู่
ไม่ได้ สารีบุตรทราบแล้ว สัญญาย่อมเกิดขึ้น ย่อมปรากฏ ย่อม
ถึงการตั้งอยู่ไม่ได้ สารีบุตรทราบแล้ว วิตกย่อมเกิดขึ้น ย่อมปรากฏ
ย่อมถึงการตั้งอยู่ไม่ได้. สารีบุตรทราบแล้ว จิตในธรรมเป็นที่สบาย
ไม่สบาย เลว ประณีต ดำ ขาว และเป็นปฏิภาคกัน อันสารีบุตร
เรียนดีแล้ว มนสิการดีแล้ว ทรงไว้ดีแล้ว แทงตลอดดีแล้ว ด้วยปัญญา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรประกอบด้วยธรรม 7 ประการนี้แล
ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปฏิสัมภิทา 4 ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่.
จบ ทุติยปฏิสัมภิทาสูตรที่ 8